วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ลดความอ้วน


 
อันที่จริงคนที่กินแล้วหยุดไม่ได้ ก็เป็นเสมือนเสพย์ติดอาหาร คนบางคนอาจมีพฤติกรรมการกิน ที่แตกต่างจากคนทั่วไป อย่างที่มีคำเรียกว่า "ยัด" หรือ "สวาปาม" พฤติกรรมแบบนี้ ย่อมทำให้เกิดโรคอ้วนได้แน่นอน
 
สารอาหารที่เลือกกิน มีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วนได้ 
 
คนที่มีแนวโน้มจะอ้วนมักชอบกินอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูง ขนม เวลากินก๋วยเตี๋ยวก็ชอบใส่น้ำตาล ดื่มกาแฟก็ใส่ครีมใส่น้ำตาลมาก
 
อารมณ์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อพฤติกรรมการกินของคน บางคนเวลาเครียดหรือซึมเศร้า ก็กินอาการบ่อยขึ้นมากขึ้น บางคนชอบกินจุบกินจิบ เพราะเหงาปาก ไม่รู้จะทำอย่างไร
 
สารอาหารที่คนเรากินเข้าไป เป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ส่วนหนึ่งจะต้องถูกนำมาใช้ ในการให้พลังงานแก่ร่างกาย การใช้พลังงานให้พอดีกับอาหารที่ได้รับ เป็นกลไกสำคัญ ที่ทำให้ไม่เกิดโรคอ้วนคนที่ใช้พลังงานน้อยจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อ้วน
 
การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ช่วยเผาผลาญพลังงานได้รวดเร็วที่สุด แต่ในชีวิตจริง คนเราอาจไม่มีโอกาสออกกำลังกายเป็นกิจลักษณะได้ทุกคน การใช้พลังงานในการทำงาน เป็นทางเลือกหนึ่งในการป้องกันโรคอ้วน คนที่เป็นกรรมกรแบกหาม กับสามล้อ หรือเกษตรกรจึงไม่ค่อยเป็นโรคอ้วน
 
คนที่มีพฤติกรรมชอบความสะดวกสบาย ขี้เกียจแม้ในกิจวัตรประจำวันเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขึ้นลงตึกเพียง 1-2 ชั้น ก็ต้องใช้ลิฟต์ ระยะทางไม่กี่สิบเมตรก็ต้องขับรถไป พฤติกรรมแบบนี้ มีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วนและโรคอื่นๆ อีกหลายอย่าง
 
การรักษาโรคอ้วน ต้องใช้หลักพลังงานใช้ไปมากกว่าพลังงานที่รับเข้าสู่ร่างกาย
 
ต้องเลือกสารอาหารที่กินให้เป็นพวกพลังงานต่ำ มีเส้นใยอาหารมาก โดยไม่ขาดสารอาหารที่จำเป็น ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินให้กินเป็นมื้อเป็นคราวที่เหมาะสม ไม่กินจุบกินจิบ ไม่ควรอดอาหาร เพราะจะยิ่งทำให้เกิดการชดเชยและอยากอาหารมากขึ้น
 
พฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ช่วยป้องกันและแก้ไขโรคอ้วนได้ คือ การลดการใช้เครื่องอำนวย ความสะดวกต่างๆ เช่น ลิฟต์ และรถยนต์ หันมาใช้การเดินหรือขี่จักรยานมากขึ้น ลดการใช้เครื่องซักผ้า และหันมาซักด้วยมือ
 
สิ่งหนึ่งที่มีคนสนใจมากคือ ยาลดความอ้วน หลายคนมีความเชื่อว่า มียาบางอย่างที่สามารถเนรมิต ให้ตนผอมลงได้เองโดยไม่ต้องปฏิบัติตัวอย่างใดเป็นพิเศษ คล้ายกับคนที่เชื่อว่ามียากินให้ฉลาด ยากินให้สวยให้หล่อ ยากินให้สมองดี ความจำแม่น หรือยาอายุวัฒนะ ความเชื่อเหล่านี้ ไม่น่าจะเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง
 
ยาที่มีผู้นำไปใช้ลดความอ้วนนั้นส่วนใหญ่เป็นยากระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้มีอาการตื่นตัว ไม่ง่วงนอน และมีผลข้างเคียงทำให้ความอยากอาหารลดลง
 
สรรพคุณของยากลุ่มนี้จึงเหมือนกับยาบ้า ที่นิยมใช้เป็นสารเสพติด ยาอาจทำให้น้ำหนักลดลง ได้ค่อนข้างเร็วแต่ผลแทรกซ้อนมีมากมายเช่น ทำให้นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ หากใช้เกินขนาดอาจถึงตายได้
 
ผลข้างเคียงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของยากลุ่มนี้ก็คือทำให้เกิดประสาทหลอน หลงผิดหรือเป็นโรคจิตได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคจิตภายหลังจากไปกินยาลดความอ้วน พบได้บ่อยพอสมควร บางคนที่เคยป่วยอยู่ก่อน และอาการทุเลาแล้วพอไปใช้ยาพวกนี้ เลยทำให้อาการกำเริบขึ้นมาอีก
 
ผลเสียจากการใช้ยาลดความอ้วนมีมากมาย จนไม่คุ้มที่จะหวังพึ่งฤทธิ์ของมันในการช่วยลด ความอยากอาหารและช่วยลดน้ำหนัก
 
การป้องกันและการรักษาโรคอ้วน จึงควรใช้วิธีปฏิบัติตัวในการควบคุมการกินอาหาร และเพิ่มการใช้พลังงานตามที่กล่าวตอนต้น น้ำหนักตัวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณอันตรายอย่างหนึ่ง หากไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบไปพบแพทย์ตรวจสุขภาพโดยด่วน คนที่เป็นโรคอ้วน ควรลดน้ำหนักลงอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป อย่าได้พยายามลดฮวบฮาบเป็นอันขาด เพราะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
 
หุ่นดีกับ 4 วิธีง่าย ๆ
 
หากพยายามลดความอ้วนอย่างไรก็ไม่เป็นผล ก็ควรทำใจยอมรับเสียเถิด คิดเสียว่า "อ้วนตายดีกว่าอดตาย" ก็แล้วกัน
 
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการมีหุ่นดี คุณไม่จำเป็นต้องไปเข้าคอร์สลดน้ำหนักตามศูนย์หรือคลินิกใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่คุณต้องมีความตั้งใจจริงที่จะทำให้คิดว่าการควบคุมอาหารเป็นการใช้ชีวิตตามปกติของคุณ พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้ 
 
- พยายามไม่ทานอะไรอีกหลัง 14.00 น. หรืออย่างช้าที่สุด 18.00 น. นั่นคือถ้าคุณต้องทานอาหารเย็น จะต้องทานให้เสร็จก่อน 18.00 น.แล้วหลังจากนั้นห้ามทานอะไรอีก นอจากน้ำเปล่า 
 
- อย่าระบายความโกรธหรือความหงุดหงิดของคุณไปกับของขบเคี้ยว เพราะจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว 
 
- ตั้งปฏิญาณไว้ว่าจะไม่ทานช็อกโกแลตและไอศกรีมตลอดทั้งสัปดาห์ และพยายามทำให้ได้ อย่าเผลอเด็ดขาด เพราะขนมที่หวานและเย็นอย่างไอศกรีมจะทำให้ทานได้เยอะ 
 
- สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องทานเมื่อคุณหิวเท่านั้น ไม่ใช่ทานเพื่อตอบสนองความอยาก 
 
 
 
 
แหล่งที่มา : นพ.เกษม ตันติผลาชีวะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น